...
วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
การปลูกดอกกุหลาบ
การปลูกดอกกุหลาบ
การปลูกกุหลาบไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย เพียงแต่เราต้องใจเย็นนิดนึง
รอเวลาว่าที่เหมาะสมเสียก่อนแล้วค่อยปลูก ไม่ใช่ว่าซื้อมาจากสวนสดๆ ร้อนๆ
ก็เอาลงกระถางเลย รับรองว่าเสร็จทุกรายไปแรกๆ ผมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ
ทำอย่างนี้พอดอกหมด ต้นก็เตรียมตายได้เลย มาดูขั้นตอนกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา
เวลาเป็นเงินเป็นทอง
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
- ต้นกุหลาบที่ถูกเลือกมาเป็นอย่างดี อิอิ
- ดินสำหรับปลูกกุหลาบโดยเฉพาะ อันนี้ไม่มีสูตรตายตัวนะครับ ถ้าเราไปถามตามร้านขายต้นไม้ เค้าก็มักจะตอบว่าใช้ได้หมดแหละซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย เรื่องดินเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ในการปลูกกุหลาบ แล้วจะเลือกยังไง ? เอาง่ายๆนะครับ เลือกดินที่หลังจากปลูกไปแล้วในอนาคตจะไม่กลายสภาพเป็นดินเหนียวก็แล้วกัน
- กระถางดินเผาที่ควรมีความกว้างของปากกระถางอย่างน้อย 1 ฟุต เพราะกุหลาบเป็นพืชที่กินแร่ธาตุในดินมาก ทำให้สารอาหารในดินหมดเร็ว และเราก็จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนกระถางบ่อยๆ หากต้นโตขึ้น
- ฟูราดาน สำหรับรองก้นกระถาง หรือหลุมถ้าปลูกลงดิน เพื่อป้องกันหนอนมากัดกินใบและดอก
- ปุ๋ย ต่างๆ แล้วแต่ความชอบครับ เน่นให้เป็น บำรุงใบแล้วกัน เพราะถ้าใบดี ต้นก็จะแข็งแรง ดอกก็จะมาเองโดยไม่ต้องร้องขอ
- ขลุยมะพร้ามป่นสำหรับคลุมบนผิวดินเพื่อรักษาความชุ่มชื้น อันนี้ต้องเอามาแช่น้ำทิ้งไว้ซัก 1 คืน ก่อนใช้นะครับ
ขั้นตอนการปลูก
- เมื่อเราซื้อต้นกุหลาบมาไม่ว่าจะพันธุ์อะไรก็ตาม ให้พักต้นไว้ประมาณ 7 วัน ตัดดอกที่ติดมากับต้นปักแจกันให้หมดทั้งตูมทั้งบาน อย่าเสียดาย (นับลงมาจากดอก 5 ใบ แล้วตัด) ก่อนเอาลงกระถางหรือเอาลงดิน ไม่ต้องใส่ปุ๋ยบำรุงใดๆ ทั้งสิ้นในช่วงนี้ เพียงแต่รดน้ำตอนเช้าทุกวันเท่านั้นพอ การรดน้ำต้นกุหลาบ ก็ควรรดที่โคนต้นเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่ฉีดน้ำเป็นสายรดทั้งต้น เพราะจะทำให้ต้นกุหลาบเป็นโรคง่าย "อันนี้ต้องจำไว้เลยนะครับ ไม่จำเป็นอย่ารดน้ำให้โดนดอกหรือใบ"
- โดยภายใน 7 วันอันตรายนี้ ก็ให้ค่อยๆ ขยับต้นกุหลาบให้โดนแดนวันละนิด เช่น วันแรกให้วางต้นกุหลาบให้อยู่ในตำแหน่งที่โดนแดดประมาณ 1 ชั่วโมงพอ แล้วเพิ่มไปวันละชั่วโมง จนครับ 7 วัน ก็ประมาณ 6-8 ชั่วโมงพอดี
- หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะเริ่มสั่งเกตเห็นว่ากุหลาบเริ่มแตกตาใหม่ๆ ออกมาใกล้กับบริเวณที่เราตัดดอกทิ้งในขั้นตอนที่ 1 แสดงว่าต้นแข็งแรงดี ถ้าไม่เป็นตามนี้ก็อาจจะมีอาการใบเหลือง ซึ่งแสดงว่าขาดน้ำ (รดน้ำไม่ชุ่มพอ)
- วันที่ 8 ถ้าพร้อมก็ปลูกได้เลย โดยให้เอาต้นกุหลาบออกจากถุงเพาะ หรือกระถางเดิมซึ่งใบเล็ก แล้วนำไปใส่กระถางใบใหม่ โดยใส่ดินรองที่ก้อนกระถางก่อนประมาณ 3 นิ้ว กดให้แน่น วางต้นกุหลาบลงไปพร้อมดินเดิมที่ติดต้นมา เทดินที่เหลือใส่ ค่อยๆ อัด เหลือพื้นที่ไว้คลุมขลุยมะพร้าวที่แช่น้ำไว้ด้วยด้ว
- ลองรดน้ำดู น้ำควรไหลผ่านชั้นดินลงไปได้ดี แต่ไม่เร็วเกินไป และไม่ช้าเกิน 10 นาที ถ้าเร็วเกินดินก็จะรักษาความชื้นไว้ไม่ดี แต่ถ้าช้าเกินก็จะทำให้รากเนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ :)
- กระถางกุหลาบควรถูกวางในตำแหน่งที่ได้รับแสงแดดวันละอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
การปลูกมะนาว
การปลูกมะนาว
การปลูกมะนาวในกระถาง เป็นทางเลือกที่ดีของคนอยากมีสวนครัวย่อม ๆ อยู่ในบ้าน หากอยากลอง ปลูกมะนาวในกระถาง ลองมาดูวิธีการปลูกมะนาวในกระถาง ด้วยการเพาะเมล็ดกัน
การปลูกมะนาวในกระถาง โดยการเพาะพันธุ์เมล็ด เป็นอีกหนึ่งวิธีขยายพันธุ์มะนาวที่นิยมใช้กันทั่วไป นอกเหนือจากการขยายพันธุ์มะนาวด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การปักชำ การตอนกิ่ง หรือการเสียบกิ่ง และตอนนี้หากบ้านไหนอยากปลูกมะนาวไว้กินเองในครัว เพราะเริ่มจะขยาดกับราคามะนาวในท้องตลาดที่พุ่งพรวดขึ้นทุกวัน อีกทั้งยังอยากหยิบใช้ให้สะดวกทันใจ เราก็มี การปลูกมะนาวในกระถาง โดยการเพาะเมล็ดมาฝาก ทำได้ไม่ยากอย่างที่คิดเลยจ้า
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. มะนาวสด เลือกพันธุ์และลูกที่สมบูรณ์ที่สุด
2. มีดปอก
3. ถาดอะลูมิเนียม หรือถาดพลาสติกชนิดมีฝาปิด
4. กระถางขนาด 3-5 นิ้ว
5. กระดาษทิชชูแผ่นหนา
6. แกลบเผา
7. ดินร่วน
8. ปุ๋ยคอก
9. ฮอร์โมนเร่งราก (ถ้าต้องการ)
วิธีปลูกมะนาวด้วยการเพาะเมล็ด
1. ปอกเปลือกมะนาว แล้วจัดการแบ่งลูกมะนาวออกเป็นส่วน ๆ ขั้นตอนนี้พยายามอย่าใช้มีดหั่นมะนาวเป็นเสี้ยว เพราะคมมีดอาจหั่นเมล็ดมะนาวให้เสียหายได้
2. แยกเมล็ดมะนาวออกมา ระวังอย่าให้เล็บขูดผิวเมล็ดมะนาวจนถลอก
3. นำเมล็ดมะนาวไปล้างกับน้ำเย็นให้สะอาดหมดจดจากน้ำมะนาว
4. ตากเมล็ดมะนาวกับแดดจัด ๆ เพื่อให้เมล็ดมะนาวแห้งสนิท
5. แช่น้ำมะนาวกับน้ำเย็น ทิ้งไว้ประมาณ 1 คืน ขั้นตอนนี้คุณสามารถเติมฮอร์โมนเร่งรากลงไปด้วยก็ได้
6. ปูกระดาษทิชชูรองถาดพลาสติกประมาณ 2-3 แผ่น จากนั้นนำเมล็ดมะนาวมาวางเรียงบนกระดาษทิชชู
7. คลุมเมล็ดมะนาวด้วยกระดาษทิชชูอีกชั้น พรมน้ำจนกระดาษทิชชูชุ่ม ปิดฝากล่องแล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน
8. หมั่นเปิดดูว่าเมล็ดมะนาวงอกรากออกมาแล้วหรือยัง และต้องคอยพรมน้ำอย่าให้กระดาษทิชชูแห้งเด็ดขาด
9. ถ้ารากเริ่มงอกบ้างแล้ว ให้เตรียมผสมดินร่วมกับปุ๋ยคอกในอัตราส่วน 50:50 ใส่ลงในกระถาง วางเมล็ดมะนาวลงปลูก กลบดินให้แน่น แล้วรดน้ำพอชุ่ม วางกระถางข้างหน้าต่าง ให้มีแดดส่องถึง
10. หมั่นรดน้ำต้นมะนาวพอประมาณ ไม่ต้องชุ่มมาก แต่ก็พยายามอย่าให้ต้นมะนาวขาดน้ำ เพราะโดยปกติแล้วต้นมะนาวจะชอบแสงแดดรำไร อากาศอบอุ่น
11. หากต้นมะนาวเริ่มโต ให้เปลี่ยนใส่กระถางที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม หรือในกรณีที่มีพื้นที่มากพอ คุณจะปลูกมะนาวลงดิน
การถนอมอาหารโดยการกวน
การถนอมอาหารโดยการกวน
การถนอมอาหารด้วยวิธีการกวน
การที่นำเนื้อผลไม้ที่สุกแล้วผสมกับน้ำตาล โดยใช้ความร้อน เพื่อกวนผสมให้กลมกลืนกัน
โดยมีรสหวาน และให้เข้มข้นขึ้น
การใส่น้ำตาลในการกวนมี 2 วิธี คือ ใส่น้ำตาลแต่น้อยใช้กวนผลไม้ เพื่อทำแยม เยลลี่ เป็นต้น และการกวนโดยใช้ปริมาณน้ำตาลมาก เช่น การกวนผลไม้แบบแห้ง เช่น กล้วยกวน สับปะรดกวน ทุเรียนกวน เป็นต้น
การใส่น้ำตาลในการกวนมี 2 วิธี คือ ใส่น้ำตาลแต่น้อยใช้กวนผลไม้ เพื่อทำแยม เยลลี่ เป็นต้น และการกวนโดยใช้ปริมาณน้ำตาลมาก เช่น การกวนผลไม้แบบแห้ง เช่น กล้วยกวน สับปะรดกวน ทุเรียนกวน เป็นต้น
ประโยชน์ของผักและผลไม้
1. ช่วยให้เก็บอาหารไว้นาน
2. ช่วยให้อาหารมีกลิ่น รสชาติ ต่างไปจากอาหารสด ผักและผลไม้ที่ใช้กวน ได้แก่ เผือก มันเทศ ฟักทอง สับปะรด กล้วย มะขาม
1. ช่วยให้เก็บอาหารไว้นาน
2. ช่วยให้อาหารมีกลิ่น รสชาติ ต่างไปจากอาหารสด ผักและผลไม้ที่ใช้กวน ได้แก่ เผือก มันเทศ ฟักทอง สับปะรด กล้วย มะขาม
ข้อควรระวัง
1. เมื่อเริ่มกวนให้ใช้ไฟปานกลาง พอเริ่มงวดให้ลดไฟอ่อน ต้องคอยคนตลอดเวลาและระวังอย่าให้อาหารไหม้ติดกระทะ ถ้าไหม้ต้องเปลี่ยนกระทะทันที
2. การกวนกับน้ำตาลอย่างเดียว เช่น มะละกอกวนเส้น จะได้อาหารกวนที่ตกผลึก แข็ง ไม่ใส ถ้าใส่น้ำมะนาว เป็นส่วนผสมด้วยขณะกวน จะได้อาหารกวนใส เหนียว และน้ำตาลไม่ตกผลึก
1. เมื่อเริ่มกวนให้ใช้ไฟปานกลาง พอเริ่มงวดให้ลดไฟอ่อน ต้องคอยคนตลอดเวลาและระวังอย่าให้อาหารไหม้ติดกระทะ ถ้าไหม้ต้องเปลี่ยนกระทะทันที
2. การกวนกับน้ำตาลอย่างเดียว เช่น มะละกอกวนเส้น จะได้อาหารกวนที่ตกผลึก แข็ง ไม่ใส ถ้าใส่น้ำมะนาว เป็นส่วนผสมด้วยขณะกวน จะได้อาหารกวนใส เหนียว และน้ำตาลไม่ตกผลึก
การถนอมอาหารโดยการดอง
การถนอมอาหารโดยการดอง
การถนอมอาหารโดยการดองด้วยการใช้จุลินทรีย์บางชนิดที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยจุลินทร์ทรีย์นั้นจะสร้างสารบางอย่างขึ้นมาในอาหาร ซึ่งสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตัวอื่นๆได้ ดังนั้นผลของการหมักดองจะทำให้อาหารปลอดภัยจากจุลินทร์ทรีย์ชนิดอื่นๆ และยังทำให้เกิดอาหารชนิดใหม่ๆ
ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม เป็นการเพิ่มกลิ่น และรสชาติของอาหารให้แปลกออกไป
การถนอมอาหารโดยการดองมีหลายวิธีดังนี้...
2.1 การดองเปรี้ยว ผักที่นิยมนำมาดอง เช่น ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี ผักเสี้ยน ถั่วงอก เป็นต้น
- ผัก ผลไม้ ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด หั่นตัด หรือแต่งเป็นชิ้นส่วนตามต้องการ
- เนื้อสัตว์ และไข่ เช็ดหรือล้างให้สะอาด
1. การเตรียมส่วนผสม ทำได้หลายวิธีดังนี้...
- ผสมกับน้ำ เข้าด้วยกัน ต้มให้เดือด กรองแล้วทิ้งไว้ให้เย็น
- ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำ เข้าด้วยกัน ต้มให้เดือด กรองแล้วทิ้งไว้ให้เย็น
- ผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ น้ำ และเครื่องเทศเข้าด้วยกัน ต้มให้เดือด กรองแล้ว
ทิ้งไว้ให้เย็น
2. บรรจุอาหารในภาชนะที่แห้ง สะอาด และต้มฆ่าเชื้อแล้ว เทส่วนผสมให้ท่วมอาหาร ถ้า
ชิ้นอาหาร
ชิ้นอาหาร
ลอย ให้ใช้ถุงพลาสติกบรรจุน้ำรัดปากถุงให้แน่นแล้ววางทับชิ้นอาหารให้จมในส่วนผสมปิดฝาให้สนิท
3. ในกรณีที่นำผักที่มีน้ำมากๆ มาดองเปรี้ยว เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักกาดขาว ทำได้โดยการ
ใช้เกลือคลุกเคล้ากับผักให้ทั่วเกลือจะช่วยดูดน้ำออกจากผัก น้ำจะผสมกับเกลือเป็นน้ำเกลือ ซึ่งน้ำ
เกลือจะมีความเข้มข้นประมาณ 5-8 % บรรจุผักในภาชนะให้แน่น 3-5 วัน จะเกิดกรดแลคติค ทำให้
ผักมีรสเปรี้ยว
2.2 การดอง 3 รส คือรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ผักที่นิยมดองแบบนี้คือ ขิง กระเทียมสด ผักกาดเขียว เป็นต้น
การดองชนิดนี้คือ นำเอาผักมาเคล้ากับเกลือแล้วผสมน้ำส้ม น้ำตาล เกลือ ต้มให้เดือดทิ้งไว้ให้เย็น
แล้วนำมาเทราดลงบนผักปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
2.3 การดองหวาน ผักและผลไม้ที่นิยมนำมาดอง เช่น มะละกอ หัวผักกาด กะหล่ำปลี เป็นต้น
โดยต้มน้ำตาล น้ำส้มสายชู เกลือ ให้ออกรสหวานนำให้เดือดทิ้งไว้ให้เย็น เทราดลงบนผักผลไม้ ทิ้งไว้ 2-3 วัน
ก็นำมารับประทานได้
2.4 การดองเค็ม อาหารที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์และผัก เช่น ปูเค็ม ปลาเค็ม กะปิ หัวผักกาด ไข่เค็ม เป็นต้น
ต้มน้ำส้มสายชูและเกลือให้ออกรสเค็มจัดเล็กน้อยให้เดือดทิ้งไว้ให้เย็น กรองใส่ภาชนะที่จะบรรจุอาหารดอง แล้วหมักทิ้งไว้ 4-9 เดือนจึงนำมารับประทาน
2.5 การหมักดองที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์ คือการหมักอาหารพวกแป้ง น้ำตาล โดยใช้ยีสต์เป็น
ตัวช่วยให้เกิดแอลกอฮอล์ เช่น ข้าวหมาก ไวน์ เป็นต้น
เทคนิคการดองผัก ผลไม้
1. ควรระมัดระวังเรื่องความสะอาดของภาชนะ อุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องปรุงรสวัตถุดิบ สถานที่ประกอบอาหาร ผู้ประกอบอาหาร และในระหว่างขั้นตอนการประกอบอาหาร
2. เลือกผัก ผลไม้ที่ใหม่ สด เนื้อแน่น กรอบ มีขนาดผลเท่ากัน
3. เลือกเครื่องปรุงรสที่มีคูรภาพ เหมาะสมกับชนิดของผัก ผลไม้และวิธีการดองอาหาร
4. ทำตามลำดับขั้นตอนตำรับอาหารอย่างถูกต้อง
5. ในการดองอาหาร ควรให้ส่วนผสมท่วมชิ้นอาหารทุกครั้ง ถ้าชิ้นอาหารลอย ให้ใช้ถุงพลาสติกบรรจุน้ำ รัดปากถึงให้แน่น กดทับชิ้นอาหารให้จมในส่วนผสม
6. ควรบรรจุอาหารในภาชนะที่แห้งสะอาด ผ่านการต้มผ่าเลื้อและมีฝาปิดสนิท
7. การเก็บรักษาอาหารดอง ควรเก็บรักษาในที่สะอาด แห้ง เย็น มีอากาศถ่ายเทสะดวก และไม่ถูกแสงแดด
8. ในการทำผักดองที่มีรสหวานกรอบ ให้แช่ผักในน้ำเกลือ 1-2 วัน ล้างให้สะอาด แล้วจึงนำไปแช่ในส่วนผสมที่ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำส้มสายชู และเครื่องเทศจะได้ผักดองหวานกรอบที่มีรสชาติกลมกล่อม
การถนอมอาหารโดยการตากแห้ง
การถนอมอาหารโดยตากแห้ง
เป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดมากที่สุด ใช้ได้กับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ เป็นวิธีที่ทำให้อาหารหมดความชื้นหรือมีความชื้นอยู่เพียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้จุลินทรีย์สามารถเกาะอาศัยและเจริญเติบโตได้
ทำให้อาหารไม่เกิดการบูดเน่า โดยการนำน้ำหรือความชื้นออกจากอาหารให้มากที่สุดเช่น เนื้อเค็ม ปลาเค็ม กล้วยตาก เป็นต้น
ก่อนตากแห้งต้องล้างให้สะอาด ถ้าเป็นพวกผักมักลวกด้วยน้ำเดือดเสียก่อน ทำให้หยุดยั้งปฏิกิริยาเคมี บางรายนิยมนำเอาผลไม้ไปรมควันกำมะถันอ่อนๆ ก่อนที่จะตากแห้ง ซึ่งจะช่วยให้มีสีและรสดีขึ้น ทั้งยังป้องกันไม่ให้เกิดรสเปรี้ยวและช่วยกันไม่ให้แมลงกัดกินอีกด้วย
อาหารที่นิยมถนอมโดยการตากแห้ง มักเป็นประเภทผัก ผลไม้ และเนื้อ เช่น ดีปลี พริก เห็ดบางชนิด หมากแห้ง (ฝานก่อนตาก) กล้วยตาก (กล้วยสุกปอกเปลือกแล้วตากแห้ง) ลูกหยี (ปอกเปลือกแล้วตากแห้ง)
ส้มแขก (หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วตากแห้ง ใช้ในการปรุงอาหาร) เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น
การตากแห้งอาหารประเภทเนื้อ มักใช้เกลือช่วยเพื่อกันการบูดเน่า และช่วยให้มีรสชาติดีขึ้น เช่น หอยตาก ปลาริ้ว ปลาแห้ง เนื้อแห้ง เคย บางชนิดต้มให้สุกเสียก่อนแล้วนำมาตากแห้ง เช่น สารกุ้ง (กุ้งแห้ง)
ข้าวเกรียบกุ้ง ข้าวเกรียบปลา เป็นต้น
https://sites.google.com/site/foodntechnology/kar-thnxm-xahar-food-preservation/1
https://sites.google.com/site/foodntechnology/kar-thnxm-xahar-food-preservation/1
การดูแลรักษาเครื่องเรือน(หนัง)
การดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์หนัง
ประเภทของ"หนัง" ที่นิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์มีอยู่ 2 ประเภทหลัก คือ หนังแท้และหนังเทียม
1.หนังแท้หรือหนังธรรมชาติ มีความโดดเด่นเรื่องความหรูหราดูสง่างามมีรสนิยมอย่างมาก หนังที่ใช้มักมาจากทั้งหนังวัว หนังควาย หนังม้า ฯลฯ เฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งที่ทำจากหนังแท้จะมีราคาแพงแต่ในความรู้สึกเมื่อสัมผัสที่ดีเป็นธรรมชาติ มีความนุ่มนวลในตัว และดูดีมีราคาในตัวเอง
2.หนังสังเคราะห์ ซึ่งไม่ใช่หนังธรรมชาติ แต่เกิดจากกรรมวิธีทางเคมีเพื่อทดแทนหนังธรรมชาติ โดยผลิตออกมาคล้ายกับหนังแท้ ซึ่งทุกวันนี้หนังสงเคราะห์มีการพิมม์สีและลายได้สวยเหมือนหนังแท้เลยทีเดียวยิ่งลักษณะภายนอกเหมือนหนังธรรมชาติมากเท่าไร ราคาก็จะยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นหากคิดจะซื้อเฟอร์นิเจอร์หนังควรจะซื้อหนังแท้หรือหนังเทียมดี ซึ่งหลายๆคนคิดว่าควรจะซื้อหนังแท้เป็นหลัก แต่เรามาดูมาดูข้อเสียของหนังแท้และหนังสังเคราะห์กันก่อนที่จะติดสินใจซื้อกันก่อนดีกว่า
ข้อเสียของหนังแท้
แม้จะมีผิวที่สวยงามและนุ่มเป็นธรรมชาติกว่าหนังเทียม แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อยเลย เช่น ราคาแพง ต้องหมั่นดูแลรักษาเช็ดและเคลือบเงาอยู่เสมอ เนื่องจากหนังแท้จะยังคงมีไขมันหลงเหลืออยู่ เมื่อไขมันระเหยสลายไปจะทำให้หนังแข็งกระด้างและเกิดแตกลายงาได้
ข้อเสียของหนังสังเคราะห์
หนังเทียมนั้นจะมีความทนทานและรับน้ำหนักได้ไม่มากนัก ฉีกขาดง่ายกว่าหนังแท้ และรักษารูปทรงให้คงเดิมได้ยาก เรื่องความรู้สึกหรือผิวสัมผัสยังคงมีความแตกต่างจากหนังแท้อยู่พอสมควร
สำหรับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่ทำจากหนังแท้ต้องดูแลรักษามากกว่าหนังสังเคราะห์พอสมควร ซึ่งอันที่จริงแล้วเฟอร์นิเจอร์และของใช้ทุกชนิดล้วนต้องการการดูแลรักษาด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นผ้า ไม้ เหล็ก หรือพลาสติก เพียงแต่ว่าวัสดุใดจะมีจุดอ่อนด้านไหน และต้องดูแลรักษาด้านไหนเป็นพิเศษ
การดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์และของใช้ที่ทำจากหนัง
1.ห้ามใช้สารเคมี เช่น น้ำมันสน น้ำยาขัดเงา และน้ำยาที่มีฤทธิ์เป็นกรดต่างๆ เช็ดเด็ดขาด เพราะน้ำยาเหล่านี้จะทำลายผิวนอก ของหนังให้ซีดและแห้ง โดยเฉพาะหนังสังเคราะห์ที่แม้จะมีหน้าตาคล้ายหนังแท้มากแค่ไหน แต่อย่าลืมว่าหนังสังเคราะห์นั้นก็คือพลาสติกชนิดหนึ่งนั้นเอง
2.ถ้าเป็นหนังแท้ควรใช้น้ำยาทำความสะอาดหนังแท้โดยแฉพาะ
3.ไม่ควรวางเฟอร์นิเจอร์หนังไว้ใกล้ที่ร้อน ชื้นแฉะ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้อายุการใช้งานของหนังสั้นลงและทำให้เกิดเชื้อรา
4.การทำความสะอาดโดยทั่วไปสามารถใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดได้
การดูแลรักษาเครื่องเรือน(โลหะ)
การดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์โลหะเครื่องเรือนที่ทำด้วยโลหะ |
วัสดุจำพวกโลหะมีคุณสมบัติแข็ง ขัดเงาขึ้นแวววาว นำความร้อนได้ดี ในสมัยโบราณมีการทำเครื่องมือเครื่องใช้โดยใช้เนื้อโลหะบริสุทธิ์ เช่น เงิน ทองคำ ทองแดง ต่อมามีการพัฒนาเป็นพวกโลหะผสม ซึ่งทำให้มีความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์ยิ่งขึ้น โลหะที่ทำเครื่องใช้ในบ้านของเรา มีดังต่อไปนี้
1. เหล็ก เครื่องเรือนเครื่องใช้ที่ทำด้วยเหล็ก เช่น มีด จอบ เสียม และอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านอื่น ๆ มีวิธีดูแลรักษา ดังนี่้
· ใช้งานให้เหมาะสมกับประเภทของเครื่องมือ เช่น มีดสำหรับสับเนื้อ ไม่ควรนำไปฟันไม้ เป็นต้น
· หลังจากใช้แล้วรีบทำความสะอาดทันที โดยใช้น้ำสบู่ล้างออกจนสะอาด หากสกปรกมากให้ใช้ฝอยขัดหรือแปรงขัด แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง
· ควรทาน้ำมันเคลือบเป็นครั้งคราวเพื่อป้องกันสนิม
· อย่าปล่อยให้เครื่องใช้ที่เป็นเหล็กถูกน้ำนาน ๆ หรือแช่น้ำนาน ๆ เพราะจะทำให้เป็นสนิม ถ้ามีสนิมขึ้น ให้ใช้ฝอยขัดสนิมให้หมด เช็ดให้แห้ง ใช้น้ำมันทากันสนิม แล้วเก็บเข้าที่
การเก็บรักษา |
เครื่องใช้ที่ทำด้วยเหล็ก เมื่อทำความสะอาดแล้วควรเก็บใส่ซอง ปลอก หรือเก็บไว้ในตู้ที่มิดชิด ไม่วางไว้ในที่ลมพัดผ่าน เพราะความชื้นจะทำให้เกิดสนิม
2. เครื่องเงิน เครื่องเรือนเครื่องใช้ที่ทำด้วยโลหะเงิน เช่น ชุดน้ำชา ขันเงิน พาน โดยธรรมชาติของเครื่องเงิน ถ้าถูกอากาศจะเกิดปฏิกิริยา ทำให้เครื่องเงินหมองคล้ำ การดูแลรักษาควรปฏิบัติ ดังนี้
· ใช้แล้วเก็บใส่ถุงพลาสติกทันที
· ล้างด้วยน้ำยาขัดเงินโดยเฉพาะ หรือน้ำมะนาวผสมสบู่ ขัดให้สะอาด แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
· ใช้น้ำอุ่นผสมสบู่ล้าง แล้วขัดให้สะอาด
· ห้ามใช้ใยขัดโลหะ หรือฝอยขัดหม้อขัดเครื่องเงิน เพราะอาจทำให้เป็นรอยขีดข่วน และสึกหรอได้
การเก็บรักษา
เครื่องเงินที่นำมาใช้ เมื่อทำความสะอาดแล้วควรเก็บใส่ถุง ใส่กล่อง แล้วนำเก็บเข้าตู้ไม่ให้ถูกอากาศ
3. อะลูมิเนียม เป็นโลหะชนิดหนึ่งที่มีน้ำหนักเบา ไม่เป็นสนิม จัดทำรูปทรงต่าง ๆ ได้ง่าย มักนำมาทำภาชนะเครื่องใช้ เช่น หม้อ กระทะ ทัพพี ถาด ขันน้ำ มีวิธีดูแลรักษาดังนี
· ใช้ฝอยขัดหม้อหรือแผ่นขัด ขัดให้สะอาด แล้วล้างด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ ห้ามใช้สารเคมีที่เป็นกรดอย่างเข้มข้นขัด
· รอยไหม้บนอะลูมิเนียม ห้ามใช้ไม้หรือเหล็กแคะ ให้ต้มด้วยน้ำผสมเกลือให้เดือด รอยไหม้จะกะเทาะออกไปเอง หรือใช้ฝอยขัดหม้อขัด แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
4. เครื่องแสตนเลส มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ทนความร้อนได้ดี ทนทานต่อความกัดกร่อน สามารถทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่เป็นสนิม และดูแลรักษาง่าย นิยมใช้ทำภาชนะหุงต้ม ภาชนะในการรับประทานอาหาร อุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น อ่างล้างชาม เป็นต้น
วิธีดูแลรักษา ใช้ฟองน้ำชุบน้ำผสมผงซักฟอก หรือ น้ำยาล้างจานขัดถูให้สะอาดคว่ำไว้ แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง
http://group.wunjun.com/krooboonsongs/topic/13947-348
การดูแลรักษาเครื่องเรือน(ไม้)
การดูแลรักษาเฟอร์นิเจอร์ไม้
โดยทั่วไปควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
- สำหรับ เฟอร์นิเจอร์ใหม่ใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าขนหนูสะอาดนุ่มๆ ชุบน้ำผสมสบู่จางๆเช็ดให้สะอาดทุกซอกทุกมุมก็เพียงพอ (อย่าใช้น้ำมาก เพราะจะทำให้ผิวเป็นรอยด่าง) และหลังจากการเช็ดแล้วต้องผึ่งแล้วทิ้งไว้แห้งโดยเร็วที่สุดเสมอ แต่สำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษให้เช็ดด้วยผ้าฝ้าย หรือผ้าขนหนูสะอาดแบบแห้งๆเช็ดให้สะอาดทุกซอกทุกมุม หรือปัดฝุ่นด้วยไม้ขนไก่จะดีกว่า
- ปัจจุบันมี ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้ออกมาขายด้วย ทั้งแบบสเปรย์และแบบครีม ซึ่งใช้ง่าย มีกลิ่นหอม ทั้งยังบำรุงผิวไม้ไปพร้อมกับการทำความสะอาด แต่อย่าใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียหรือแอลกอฮอลล์กับไม้เด็ดขาดหรืออาจใช้น้ำยาขัดเงาแบบสำเร็จรูปฉีด แล้วทิ้งให้แห้ง
- หากมีร้อยเปื้อนมากๆให้ทำการขัดออกด้วยกระดาษทราย ทาด้วยขี้ผึ้ง แล้วขัดออกด้วยผ้าแห้ง
- โดยทั่วไปควรหลีกเลี่ยงจุดวางที่มีแดดแรงๆ เพราะจะทำลายสีของไม้ หลังจากทำความสะอาดแล้วให้ลงน้ำมันบำรุงผิวอีกที
- คราบสกปรกจากน้ำ (หลังจากวางแก้วน้ำบนโต๊ะไม้นานๆ) ก็เป็นปัญหากวนใจ วิธีแก้ไขคือ เช็ดน้ำให้แห้งสนิท จากนั้นใช้ผ้าสะอาดแตะมายองเนสถูลงบนรอยนั้น รอยด่างเป็นดวงๆจะจางไป และถ้าเนื้อไม้มีรอยขีดข่วน ให้ลองใช้ยาขัดรองเท้าสีใกล้เคียงกับเฟอร์นิเจอร์ทาลงบนรอยนั้น
โดยทั่วไปควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ใช้แปรงหรือไม้กวาดขนไก่ปัดฝุ่นออก
- ใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าขนหนูสะอาดนุ่มๆ ชุบน้ำผสมสบู่จางๆเช็ดให้สะอาดทุกซอกทุกมุมก็เพียงพอ (อย่าใช้น้ำมาก เพราะจะทำให้ผิวเป็นรอยด่าง) และหลังจากการเช็ดแล้วต้องผึ่งแล้วทิ้งไว้แห้งโดยเร็วที่สุดเสมอ
- ควรฉีดยาฆ่าแมลงเพื่อป้องกันมอด แล้วนำมาตากแดด
- ไม่ควรนำมือที่เปียกหรือวางวัสดุที่มีความชื้นบนพื้นผิวของเฟอร์นิเจอร์ เพราะจะทำให้เกิดรอยด่าง แต่ถ้ามีรอยเปื้อนมากๆ ให้ทำการเช็ดด้วยน้ำส้มสายชูกับน้ำอุ่นให้ทั่ว แล้วขัดด้วยขี้ผึ้ง
ประวัติส่วนตัว
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวตรีกรณ์ ขวยเจริญ ชื่อเล่น แจมมี่ อายุ 15 ปี
เกิดวันที่ 03 พ.ค. 42 มีพี่น้อง 3 คน
เรียนที่โรงเรียนสุราษพิทยา เรียนสายวิทย์-คณิต
งานอดิเรก ว่ายน้ำ วาดรูป ฟังเพลง
อาหารที่ชอบ ก๋วยเตี๊ยว
สีที่ชอบ สีแดง
นิสัย ร่าเริง พูดมาก อยู่ไม่นิ่ง
ขี้เกียจ หลงตัวเอง ไม่ชอบคนเห็นแก่ตัว
Facebook: Jammy Teekron
Ig: jammiekiki
Line: .jammykiki
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)